การศึกษาภาษาอังกฤษหรือการฝึกฝนภาษาอังกฤษให้ตนเองไม่ใช่เรื่องยากเกินไป เพียงขยันและตั้งใจแน่วแน่เท่านั้น ก่อนอื่นขอเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง
สมัยผมเป็นเด็กประถมนั้น ผมเรียนที่โรงเรียนในชนบทซึ่งไม่มีการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียน ขนาดในหมู่บ้านมีคนรับจ้างสอนเดือนละ 30 บาทก็ยังไม่มีปัญญาไปเรียนแบบคนอื่น (เด็กคนอื่นคงเรียนเพื่อมเตรียมตัวสำหรับไปเรียนในตัวเมืองหรือตัวจังหวัด) แต่ผมกลับเขียนหรือจำตัวอักษรภาษาอังกฤษได้คล่องกว่าเด็กรุ่นเดียวกันที่เขามีโอกาสเรียน เพราะผมไปเจอหนังสือที่เอาไว้สอนภาษาอังกฤษที่เขาทิ้งแล้ว เลยเอามาอ่านแล้วศึกษาด้วยตนเอง (แต่ก็ทำได้แค่นั้นสำหรับความสามารถแบบเด็ก ๆ) ตอนเรียนภาษาอังกฤษเมื่อขึ้นมัธยมในกรุงเทพ (ก้าวกระโดดมาก (พอดีแม่ทำงานในกรุงเทพ) ก็อาศัยความขยันเรียนภาษาอังกฤษเสริมกับนักศึกษาฝึกสอนจนผ่านมาได้ ปัจจุบันก็พอพูดสื่อสารได้บ้าง ดีกว่างู ๆ ปลา ๆ มาหน่อย
เขียนเกริ่นมาเสียเยอะ อยากจะให้กำลังใจและแนวคิดสำหรับผู้คิดจะเริ่มต้น (ฝึกภาษาอังกฤษเสียที) ว่า
1. ไม่ต้องกลัวเสียฟอร์ม
ขนาดภาษาไทยเรายังใช้ผิดใช้ถูกเราก็ยังสื่อสารกันรู้เรื่อง การพูดภาษาอังกฤษก็เป็นแบบนั้น
เราพูดภาษาไทยแต่อ้อนแต่ออก ดังนั้น ภาษาอังกฤษที่เราพูดมันไม่มีสำเนียงแบบฝรั่งเขาหรอก
หรือการพูดมันก็ไม่ถูกไวยากรณ์นัก อย่าจิตตกจนเกินไปครับ เหมือนคนพม่า
คนเขมรที่มาเป็นแรงงานในบ้านเรานั่นแหละ แม้เขาพูดไทยไม่ชัด เขาก็ไม่รักษาฟอร์มเพราะต้องทำงานเอาตัวรอด
เราเองก็พยายามทำความเข้าใจเขา อาจจะทำขำ ๆ กับเขาบ้าง แต่ท้ายที่สุดเขาก็พูดไทยชัด
และเริ่มเล่นตัวกับเจ้านายในไทยได้อีกเพราะเป็นต่อด้านภาษา (ในขณะที่เรายังขาดทุนเพราะพูดภาษาเขาไม่ได้
ฮ่า ๆ) ดังนั้น ถ้าอยากอยู่เหนือเขา
ก็ต้องเริ่มฝึกษาอังกฤษ
2. ต้องมีภาคปฏิบัติ โดยเฉพาะการพูดออกมา
เหมือนเราเรียนคอมพิวเตอร์
ถ้าเอาแต่ท่องหนังสืออย่างเดียวแต่ไม่เคยจับเครื่องเลย เราคงใช้ไม่เป็น
หรือพวกที่ชอบซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ๆ นั้น
จะมีสักกี่คนที่อ่านคู่มือที่มากับเครื่อง มีแต่ลองใช้ ลองผิดลองถูก
ท้ายสุดก็ใช้จนคล่องได้ การฝึกภาษาอังกฤษก็ยังไงยังงั้น ต้องหาเรื่องใช้ จะพูด
จะเขียน จะอ่าน จะฟัง หรือจะอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดทักษะ เช่น ร้องเพลงฝรั่ง ดูหนังฝรั่งแบบพยายามไม่ดูซับไตเติ้ล
(sub title) พูดหน้ากระจก หาเพื่อนที่เป็นคนต่างชาติ อย่าเป็นโรคกลัวฝรั่ง
จะเห็นว่ามีบางครอบครัวยอมส่งลูกตัวเองไปอยู่ต่างประเทศช่วงปิดเทอม (เพื่อสร้างสถานการณ์บังคับให้ต้องพูดภาษาอังกฤษ)
หรือยุคนี้ถ้าพอมีตังค์ก็พยายามส่งลูกเข้าโรงเรียน 2 ภาษา
3. มุ่งมั่น เอาจริง อย่าทำตัวชิล ๆ เกินเหตุ
อย่าทำเหมือนทักษะมันจะลอยมาเอง
เหมือนเราพยายามใช้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ให้คล่องเพราะกลัวตกเทรนด์นั่นแหละครับ
ท่านคิดว่าท่านใช้มันเก่งเพราะความอัจฉริยะหรือว่าใช้บ่อย ๆ
4. อย่าแปล
การพูดภาษาอังกฤษไม่ใช่การแปลกลับไปกลับมาแบบกูเกิลแปล
แต่มันคือการสร้างศัพท์ใหม่ในสมองครับ เหมือนการพูดทับศัพท์ยังไงยังงั้น
แต่เราทับศัพท์ทั้งประโยค (ก็เท่านั้น) ดังนั้น สมองเรามันไม่เคยแปลกลับไปกลับมา
แค่พูดออกมาเราก็รู้ว่ามันคืออะไร (พูดง่าย ๆ คือ เราต้องอินกับมัน) ตัวอย่างที่เราใช้วิธีนี้ในชีวิตที่เราไม่รู้ตัว
เช่น
ภาษาไทยจ๋า
|
ทับศัพท์ภาษาอังกฤษ
|
ภาษาอังกฤษ
|
วิธีนี้มันใช้ไม่ได้ผล
|
วิธีนี้ไม่เวิร์ค
|
|
มันไม่ยุติธรรม
|
มันไม่แฟร์
|
|
กูขับรถจักรยานยนต์แบบใหญ่
|
กูขับบิ๊กไบค์
|
|
กูรักมึง (ว่ะ)
|
ไอ เลิฟ ยู
|
|
เพื่อ (ที่จะ) เป็นที่หนึ่ง
|
ทู บี นัมเวอร์ วัน
|
5. เครื่องมือฟรี
ยุคนี้ การฝึกด้วยตนเองมีของฟรีให้ใช้ เช่น ในที่นี้จะใช้
http://th.w3dictionary.org/index.php?q=xxx โดยที่ xxx จะเป็นคำที่ต้องการหาความหมาย และใช้
http://translate.google.co.th/#en/th/xxx โดยที่ xxx จะเป็นคำที่ต้องการฟังคำอ่าน (Google แปลไม่ตรงเสียทีเดียว) โดยเมื่อเปิดหน้านี้แล้ว ให้คลิกที่รูปลำโพง เสียงที่ได้เป็นเสียงอ่านจากคอมพิวเตอร์ ถือว่าใกล้เคียงกับเสียงคนครับ
http://th.w3dictionary.org/index.php?q=xxx โดยที่ xxx จะเป็นคำที่ต้องการหาความหมาย และใช้
http://translate.google.co.th/#en/th/xxx โดยที่ xxx จะเป็นคำที่ต้องการฟังคำอ่าน (Google แปลไม่ตรงเสียทีเดียว) โดยเมื่อเปิดหน้านี้แล้ว ให้คลิกที่รูปลำโพง เสียงที่ได้เป็นเสียงอ่านจากคอมพิวเตอร์ ถือว่าใกล้เคียงกับเสียงคนครับ
ถ้าทำความเข้าใจในสิ่งที่กล่าวมาได้ ท่านก็พร้อมศึกษาภาษาอังกฤษ เตรียมความพร้อมตนเองเข้าสู่ AEC ได้สบายแล้วครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น