วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทำความเข้าใจก่อนเริ่มต้น

การศึกษาภาษาอังกฤษหรือการฝึกฝนภาษาอังกฤษให้ตนเองไม่ใช่เรื่องยากเกินไป เพียงขยันและตั้งใจแน่วแน่เท่านั้น ก่อนอื่นขอเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง

สมัยผมเป็นเด็กประถมนั้น ผมเรียนที่โรงเรียนในชนบทซึ่งไม่มีการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียน ขนาดในหมู่บ้านมีคนรับจ้างสอนเดือนละ 30 บาทก็ยังไม่มีปัญญาไปเรียนแบบคนอื่น (เด็กคนอื่นคงเรียนเพื่อมเตรียมตัวสำหรับไปเรียนในตัวเมืองหรือตัวจังหวัด) แต่ผมกลับเขียนหรือจำตัวอักษรภาษาอังกฤษได้คล่องกว่าเด็กรุ่นเดียวกันที่เขามีโอกาสเรียน เพราะผมไปเจอหนังสือที่เอาไว้สอนภาษาอังกฤษที่เขาทิ้งแล้ว เลยเอามาอ่านแล้วศึกษาด้วยตนเอง (แต่ก็ทำได้แค่นั้นสำหรับความสามารถแบบเด็ก ๆ) ตอนเรียนภาษาอังกฤษเมื่อขึ้นมัธยมในกรุงเทพ (ก้าวกระโดดมาก  (พอดีแม่ทำงานในกรุงเทพ) ก็อาศัยความขยันเรียนภาษาอังกฤษเสริมกับนักศึกษาฝึกสอนจนผ่านมาได้ ปัจจุบันก็พอพูดสื่อสารได้บ้าง ดีกว่างู ๆ ปลา ๆ มาหน่อย

เขียนเกริ่นมาเสียเยอะ อยากจะให้กำลังใจและแนวคิดสำหรับผู้คิดจะเริ่มต้น  (ฝึกภาษาอังกฤษเสียที) ว่า

1. ไม่ต้องกลัวเสียฟอร์ม
ขนาดภาษาไทยเรายังใช้ผิดใช้ถูกเราก็ยังสื่อสารกันรู้เรื่อง การพูดภาษาอังกฤษก็เป็นแบบนั้น เราพูดภาษาไทยแต่อ้อนแต่ออก ดังนั้น ภาษาอังกฤษที่เราพูดมันไม่มีสำเนียงแบบฝรั่งเขาหรอก หรือการพูดมันก็ไม่ถูกไวยากรณ์นัก อย่าจิตตกจนเกินไปครับ เหมือนคนพม่า คนเขมรที่มาเป็นแรงงานในบ้านเรานั่นแหละ แม้เขาพูดไทยไม่ชัด เขาก็ไม่รักษาฟอร์มเพราะต้องทำงานเอาตัวรอด เราเองก็พยายามทำความเข้าใจเขา อาจจะทำขำ ๆ กับเขาบ้าง แต่ท้ายที่สุดเขาก็พูดไทยชัด และเริ่มเล่นตัวกับเจ้านายในไทยได้อีกเพราะเป็นต่อด้านภาษา (ในขณะที่เรายังขาดทุนเพราะพูดภาษาเขาไม่ได้ ฮ่า ๆ)  ดังนั้น ถ้าอยากอยู่เหนือเขา ก็ต้องเริ่มฝึกษาอังกฤษ

2. ต้องมีภาคปฏิบัติ โดยเฉพาะการพูดออกมา
เหมือนเราเรียนคอมพิวเตอร์ ถ้าเอาแต่ท่องหนังสืออย่างเดียวแต่ไม่เคยจับเครื่องเลย เราคงใช้ไม่เป็น หรือพวกที่ชอบซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ๆ นั้น จะมีสักกี่คนที่อ่านคู่มือที่มากับเครื่อง มีแต่ลองใช้ ลองผิดลองถูก ท้ายสุดก็ใช้จนคล่องได้ การฝึกภาษาอังกฤษก็ยังไงยังงั้น ต้องหาเรื่องใช้ จะพูด จะเขียน จะอ่าน จะฟัง หรือจะอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดทักษะ เช่น ร้องเพลงฝรั่ง ดูหนังฝรั่งแบบพยายามไม่ดูซับไตเติ้ล (sub title) พูดหน้ากระจก หาเพื่อนที่เป็นคนต่างชาติ อย่าเป็นโรคกลัวฝรั่ง จะเห็นว่ามีบางครอบครัวยอมส่งลูกตัวเองไปอยู่ต่างประเทศช่วงปิดเทอม (เพื่อสร้างสถานการณ์บังคับให้ต้องพูดภาษาอังกฤษ) หรือยุคนี้ถ้าพอมีตังค์ก็พยายามส่งลูกเข้าโรงเรียน 2 ภาษา

3. มุ่งมั่น เอาจริง อย่าทำตัวชิล ๆ เกินเหตุ
อย่าทำเหมือนทักษะมันจะลอยมาเอง เหมือนเราพยายามใช้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ให้คล่องเพราะกลัวตกเทรนด์นั่นแหละครับ ท่านคิดว่าท่านใช้มันเก่งเพราะความอัจฉริยะหรือว่าใช้บ่อย ๆ

4. อย่าแปล
การพูดภาษาอังกฤษไม่ใช่การแปลกลับไปกลับมาแบบกูเกิลแปล แต่มันคือการสร้างศัพท์ใหม่ในสมองครับ เหมือนการพูดทับศัพท์ยังไงยังงั้น แต่เราทับศัพท์ทั้งประโยค (ก็เท่านั้น) ดังนั้น สมองเรามันไม่เคยแปลกลับไปกลับมา แค่พูดออกมาเราก็รู้ว่ามันคืออะไร (พูดง่าย ๆ คือ เราต้องอินกับมัน) ตัวอย่างที่เราใช้วิธีนี้ในชีวิตที่เราไม่รู้ตัว เช่น


ภาษาไทยจ๋า
ทับศัพท์ภาษาอังกฤษ
ภาษาอังกฤษ (คลิกที่ประโยคเพื่อฟังเสียง)
วิธีนี้มันใช้ไม่ได้ผล
วิธีนี้ไม่เวิร์ค
อิท อิส  น็อท เวิร์ค (it is not work)
มันไม่ยุติธรรม
มันไม่แฟร์
อิท อิส  น็อท แฟร์ (it is not fair)
กูขับรถจักรยานยนต์แบบใหญ่
กูขับบิ๊กไบค์
ไอ ไรด์ บิ๊กไบค์ (I ride big bike)
กูรักมึง (ว่ะ)
ไอ เลิฟ ยู
ไอ เลิฟ ยู (I love you)
เพื่อ (ที่จะ) เป็นที่หนึ่ง
ทู บี นัมเวอร์ วัน
ทู บี นัมเวอร์ วัน (to be number one)


5. เครื่องมือฟรี
ยุคนี้ การฝึกด้วยตนเองมีของฟรีให้ใช้ เช่น ในที่นี้จะใช้ 
http://th.w3dictionary.org/index.php?q=xxx โดยที่ xxx จะเป็นคำที่ต้องการหาความหมาย และใช้
http://translate.google.co.th/#en/th/xxx โดยที่ xxx จะเป็นคำที่ต้องการฟังคำอ่าน (Google แปลไม่ตรงเสียทีเดียว) โดยเมื่อเปิดหน้านี้แล้ว ให้คลิกที่รูปลำโพง เสียงที่ได้เป็นเสียงอ่านจากคอมพิวเตอร์ ถือว่าใกล้เคียงกับเสียงคนครับ



ถ้าทำความเข้าใจในสิ่งที่กล่าวมาได้ ท่านก็พร้อมศึกษาภาษาอังกฤษ เตรียมความพร้อมตนเองเข้าสู่ AEC ได้สบายแล้วครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น