แต่ละภาษาจะมีลักษณะทางธรรมชาติของมัน
คาดว่ามาจากพื้นฐานของสังคมที่ก่อกำเนิดภาษานั่นแหละครับ
การจะฝึกพูดหรือเขียนภาษาอังกฤษ จะต้องหัดคิดแบบภาษาอังกฤษ อย่าคิดแบบภาษาไทย
ฝึกการคิดแบบเจ้าของภาษา
ฝึกการคิดแบบเจ้าของภาษา
ในภาษาไทยจะเน้นความสละสลวยเมื่อได้ฟัง ประโยคจึงมักมีคำฟุ่มเฟือย เช่น
·
คุณมีจิตใจงาม
·
คุณมีจิตใจภายในที่งดงาม
·
คุณมีจิตใจที่สวยงาม
ทั้ง 3 ประโยคนี้ต่างก็มีความหมายเดียวกัน แม้แต่คำบางคำก็ยังมีความหมายเดียวกัน เช่น
·
จิตใจ หมายถึงสิ่งที่มันอยู่ภายในความคิดของเรา
แต่เราก็มักเติมคำว่า "ภายใน" ซ้ำเข้าไปอีก
·
คำว่า งาม งดงาม และสวยงาม ก็ให้ความหมายเดียวกัน แม้แต่คำว่า "สวย" กับคำว่า "งาม" ก็ยังมีความหมายเดียวกัน
ภาษาอังกฤษนั้น จะเน้นการสื่อสารที่ถูกต้องและชัดเจน (แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีภาษาแบบสวยงาม) เช่น
·
ลักษณะนามที่ใช้นับได้ เมื่อมีมากกว่าหนึ่ง จะมี s
ตามหลัง
หรือมีคำศัพท์เฉพาะ เช่น dogs (เมื่อมีสุนัขตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป) rice
(ข้าว
โดยทั่วไปไม่นับเป็นเมล็ดแต่ชั่งเป็นกิโล/กระสอบ) policeman (ตำรวจคนเดียว)
police (ตำรวจตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ไม่เจาะจงว่าเป็นใคร)
·
กำกริยา (verb) ก็ยังแบ่งการใช้เป็น 3 แบบ คือ
กริยาในปัจุบันหรือสิ่งที่เกิดประจำทุกเมื่อเชื่อวัน กริยาในอดีต
กริยาที่อดีตกว่าอดีต
เรื่องมันเยอะ เอาแบบให้เห็นคร่าวๆ ดังนั้น การดิคแบบภาษาอังกฤษ มันจึงเกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษตรงที่ว่า
เมื่อเราทราบพื้นฐานวิธีคิดแบบภาษาอังกฤษ เราก็จะเรียนรู้ได้เข้าใจได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
(บอกตั้งแต่ตอนแรกแล้วไงว่า อย่าแปล)
วิธีฝึกตนเองให้จำศัพท์แบบธรรมชาติ
วิธีการธรรมชาติที่สุดคิอ การสร้างศัพท์ใหม่ (ตั้งชื่อให้มันเสียใหม่) วิธีการคือที่โรงเรียนทั่วไปทำคือทำถูก แต่ผิดทิศทาง คือ เขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษแล้วให้ท่องว่าแปลเป็นไทยว่าอะไร ที่ควรทำคือ ตั้งคำภาษาไทยแล้วท่องว่าแปลเป็นภาษาอังกฤษว่าอะไร
ใช้เวลาแค่เดือน 1 เดือนจะเริ่มเห็นผล
วิธีการก็คือ เมื่อเดินไปเจออะไรที่เป็นสิ่งของ ให้พยามนึกว่า (พูดในใจ) ภาษาอังกฤษมันเรียกว่าอะไร เอาเท่าที่นึกได้ เช่น ตื่นมาเจอ "หมอน" ก็คิดถึงคือว่า pillow พอจะเปิด "ประตู" เข้าห้องน้ำ ก็คิดถึงคำว่า door เรื่องแบบนี้มันเป็นการสร้างความตื่นตัวให้สมอง ดังนั้น เมื่อเราเจออะไรในมันเยอะขึ้น เราจะเริ่มมีคำศัพท์ใหม่เข้ามาในสมองเอง จากนั้นก็อาจจะเริ่มพูดออกมาเบา ๆ ก็ได้ จากนั้นก็อาจจะคิดไปถึงคำกริยาต่าง ๆ เช่น เดินไปเข้าห้องน้ำ ก็นึกถึงคำว่า walk, toilet และในที่สุดเราจะสามารถจำศัพพ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้เอง
เดือนที่ 2 เริ่มฟังเพลงภาษาอังกฤษ เลือกเอาแบบฟังง่าย ๆ (อย่าเพิ่งไปเอาเพลงร็อก ฮิปฮอบ) ฟังไปร้องไป เราจะเริ่มจับแนวประโยคได้ จะไปหาเนื้อมาร้องประกอบช่วยก็ได้ (ประเด็นคือ ขอให้ได้พูดออกมาจากจาก) จะเอาในยูทูป พวกเพลงสำหรับเด็ก ๆ ก็ได้ มีให้ดูกนฟรี ๆ เพียบ เราจะเริ่มรูว่า ถ้าได้ยินเสียงแบบนี้ มันจะหมายถึงคำที่เขียนแบบนี้
เดือนที่ 3
สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต จะหาเพื่อนฝรั่ง ลองเขียนเรียงความภาษาอังกฤษ หาคนท่ี่พอรู้ช่วยตรวจ อย่าอาย อย่ากลัวการถูกวิจารณ์ ให้น้อมรับทุกความเห็น โง่วันนี้จะฉลาดวันหน้า ดีกว่าทำตัวเหมือนฉลาดวันนี้แต่จะโง่ในวันหน้า
วิธีฝึกตนเองให้จำศัพท์แบบธรรมชาติ
วิธีการธรรมชาติที่สุดคิอ การสร้างศัพท์ใหม่ (ตั้งชื่อให้มันเสียใหม่) วิธีการคือที่โรงเรียนทั่วไปทำคือทำถูก แต่ผิดทิศทาง คือ เขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษแล้วให้ท่องว่าแปลเป็นไทยว่าอะไร ที่ควรทำคือ ตั้งคำภาษาไทยแล้วท่องว่าแปลเป็นภาษาอังกฤษว่าอะไร
ใช้เวลาแค่เดือน 1 เดือนจะเริ่มเห็นผล
วิธีการก็คือ เมื่อเดินไปเจออะไรที่เป็นสิ่งของ ให้พยามนึกว่า (พูดในใจ) ภาษาอังกฤษมันเรียกว่าอะไร เอาเท่าที่นึกได้ เช่น ตื่นมาเจอ "หมอน" ก็คิดถึงคือว่า pillow พอจะเปิด "ประตู" เข้าห้องน้ำ ก็คิดถึงคำว่า door เรื่องแบบนี้มันเป็นการสร้างความตื่นตัวให้สมอง ดังนั้น เมื่อเราเจออะไรในมันเยอะขึ้น เราจะเริ่มมีคำศัพท์ใหม่เข้ามาในสมองเอง จากนั้นก็อาจจะเริ่มพูดออกมาเบา ๆ ก็ได้ จากนั้นก็อาจจะคิดไปถึงคำกริยาต่าง ๆ เช่น เดินไปเข้าห้องน้ำ ก็นึกถึงคำว่า walk, toilet และในที่สุดเราจะสามารถจำศัพพ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้เอง
เดือนที่ 2 เริ่มฟังเพลงภาษาอังกฤษ เลือกเอาแบบฟังง่าย ๆ (อย่าเพิ่งไปเอาเพลงร็อก ฮิปฮอบ) ฟังไปร้องไป เราจะเริ่มจับแนวประโยคได้ จะไปหาเนื้อมาร้องประกอบช่วยก็ได้ (ประเด็นคือ ขอให้ได้พูดออกมาจากจาก) จะเอาในยูทูป พวกเพลงสำหรับเด็ก ๆ ก็ได้ มีให้ดูกนฟรี ๆ เพียบ เราจะเริ่มรูว่า ถ้าได้ยินเสียงแบบนี้ มันจะหมายถึงคำที่เขียนแบบนี้
เดือนที่ 3
สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต จะหาเพื่อนฝรั่ง ลองเขียนเรียงความภาษาอังกฤษ หาคนท่ี่พอรู้ช่วยตรวจ อย่าอาย อย่ากลัวการถูกวิจารณ์ ให้น้อมรับทุกความเห็น โง่วันนี้จะฉลาดวันหน้า ดีกว่าทำตัวเหมือนฉลาดวันนี้แต่จะโง่ในวันหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น